คนดีอาจเป็นฝ่ายตรงข้ามกันก็ได้
โดยสามัญสำนึก คนดีควรจะรักกัน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าคนอื่นคิดอะไรดีๆอยู่ รู้แต่ว่าถ้าคิดดีไม่ได้เหมือนตัวเอง ก็น่าจะไม่ดีแล้ว
เริ่มต้นขึ้นมา ทุกคนแยกแยะดีเลวด้วยระดับความเห็นแก่ตัว และความมีน้ำใจเห็นแก่คนอื่น แต่ทว่าชีวิตซับซ้อนกว่านั้นแม้ความไม่เข้าพวกกันทางวิธีคิด ก็อาจถูกมองเป็นความโง่เขลา เห็นแก่ตัวเห็นผิดคิดร้าย ไม่เห็นแก่คนอื่นไปได้
ความจริงมีอยู่มากมายเกินกว่าที่ใครจะรู้ทั้งหมด และการที่แต่ละคนรู้ความจริงเพียงส่วนเดียว ก็เป็นทางมาของความเห็นต่าง เป็นช่องว่างที่ไม่มีวันถมได้เต็ม แม้แสนดีด้วยกัน ก็หันหลังให้อีกฝ่ายได้ง่ายๆ
ยิ่งเมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งกระตุ้นให้มองฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจ โดยไม่เห็นเหตุผลแบบมนุษย์ของเขาเลย ก็อาจปิดวิธีคิดอย่างมีเหตุผลของตัวเองด้วย เหลือแต่อารมณ์ร้ายให้มองแต่ด้านร้ายของกันและกันท่าเดียว
จุดสังเกตว่าคนดีเริ่มรับความร้ายเข้ามาสู่ตน อยู่ตรงที่มองไม่เห็น หรือไม่มีสักแวบที่คิดถึงข้อดีของฝ่ายตรงข้าม พอแปะป้ายว่าฝ่ายตรงข้ามคือปีศาจ ก็ต้องมีแต่ความเลวสถานเดียว
การมองแต่แง่ร้าย มีความโน้มเอียงไปสู่การอยากว่าร้าย หรือกระทั่งใส่ร้ายโดยไม่ต้องมีหลักฐาน
เมื่อมองออกว่าความเป็นคนดีและคนเลวของคนอื่น อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเงื่อนไขซับซ้อน เราจะตัดสินคนอื่นน้อยลง แล้วหันมาสนใจ ‘กุศลจิต’ และ ‘อกุศลจิต’ ของตนเองมากขึ้น
มาตรฐานความดีในตนเอง มีหลักฐานที่กุศลจิต เป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีใครด่าใครชม ไม่ได้อยู่กับหลักฐานภายนอกที่ตนเองโฆษณาให้คนอื่นฟัง หรือแกล้งทำให้คนอื่นเห็น
เมื่อรู้แก่ใจว่าตนเองไม่คิดเบียดเบียน ไม่คิดให้ร้าย ไม่คิดปั้นน้ำให้เป็นตัว หวังให้เกิดผลดีในวงแคบไปถึงวงกว้าง ก็เชื่อมั่นได้ว่าจิตของเราเป็นกุศล
แม้จะต้องอยู่คนละข้างกับคนมี ‘จิตเป็นกุศลที่คิดต่างกัน’ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคนดีเหมือนกัน ส่วนจะได้รับผลอันเป็นที่สุดไม่เหมือนกันอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดการทำความดี ว่ามีอกุศลธรรมเจือปนอยู่แค่ไหน
ดังตฤณพฤศจิกายน ๕๖
ที่มา
http://bit.ly/1mjZRjk