ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็คงไม่มีใครมีความสุขกับจิตร้อนๆของตนเอง
เพราะไหนจะต้องฟุ้งซ่านกระวนกระวายทั้งวัน
ไหนจะต้องเผชิญหน้ากับโรคนอนไม่หลับแทบทุกคืน
ไหนจะต้องก่อศัตรูไว้เรี่ยราดชนิดเดินไปไหนไม่เคยเป็นสุขตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง
อย่างไรเมื่อใช้ชีวิตมานานพอ คนที่เป็น ‘โรคโกรธง่ายหายยาก’ ก็ต้องอยากแก้อาการกันทั้งนั้น
เสียแต่ว่า กว่าโรคนี้จะกำเริบถึงขั้นที่เจ้าตัวยินยอมทำทุกวิธีเพื่อให้หายขาด
ก็ล่วงเลยนับสิบปี กระทั่งอำนาจความเคยชินแผ่ความมืดคลุมจิตหนาแน่น
เกินกว่าจะโค่นกันลงง่ายๆภายในชั่วข้ามคืนเสียแล้ว
เมื่ออยากเลิกเป็นคนใจร้อน ใจด่วน ใจเร็ว
ก็มักเกิดคำถามว่าควรตั้งต้นฝึกกันตรงไหน
คำตอบที่ดีที่สุดคือตรงที่ ‘อยากหายมาก’ หรือ ‘อยากแก้นิสัยได้เร็วๆ’ นี่แหละ!
ขอให้สังเกตว่าถ้าอยากได้อะไรแล้วไม่ได้อย่างใจ
จะเป็นชนวนสตาร์ทอารมณ์โกรธง่ายเป็นฟืนเป็นไฟ
และหายยากเหมือนได้น้ำมันเชื้อเพลิงชั้นดี
ฉะนั้น แม้กระทั่งความอยากเลิกใจร้อนขี้โมโห
ถ้าเลิกไม่ได้อย่างใจก็เป็นเหตุให้เกิดอารมณ์เดือด อยากเด็ดหัวเด็ดหางตัวเองทิ้งกันทีเดียว
เพราะไม่ทราบว่าจะไปอาละวาดตีอกชกหัวเอากับใครดี
ที่ถูกคือควรจะค่อยเป็นค่อยไป
โดยเริ่มฝึกจากการไม่ตั้งความคาดหวังไว้กับตัวเองหรืออุบายใดๆ
ว่าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ทันใจ
เมื่อไม่คาดหวังผล จึงค่อยมีสิทธิ์สังเกตว่า
การตั้งความคาดหวังจะเอาอะไรให้ได้อย่างใจเร็วๆง่ายๆนั่นแหละ
คือตัวการให้โกรธง่ายหายยาก
คุณจะค่อยๆทราบวาระจิตตนเองว่าเมื่อเกิดอารมณ์อยากเอาแต่ใจ อยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
จะเกิดแรงดันขึ้นในตัว เป็นแรงดันที่มาพร้อมกับความรุ่มร้อนกระวนกระวาย
อยากพุ่งทะยานไปเอาเป้าหมายมากำไว้ในมือโดยพลัน
ซึ่งเมื่อเป้าหมายไกลเกินเอ้ือม ก็กลายเป็น ‘คว้าลมร้อน’ มาแทนเท่านั้น ไม่ได้อะไรอย่างอื่นเลย
แถมความสุขความเจริญในชีวิตเสียหายป่นปี้หมด
การค้นพบแรงดันอันเป็น ‘ต้นตอ’ ของความร้อนรุ่มให้บ่อย
จะช่วยสร้างสติรู้ทัน ‘ณ จุดเกิดเหตุ’ ได้เรื่อยๆ กระทั่งเกิดความเห็นชัดเป็นปกติ
สติที่เกิดเป็นปกตินั่นแหละ คือจุดชี้เป็นชี้ตายว่าคุณมีสิทธิ์แก้โรคโกรธง่ายหายยากกับเขาไหม
เมื่อเห็นครั้งแรกๆอาจเหมือนไม่ดีขึ้น
แต่เห็นบ่อยๆแล้วจะรู้เองครับว่า แรงดันอันเป็นเชื้อโกรธง่ายลดลงทุกที
แล้วเหมือนมีน้ำเย็นแห่งสติมากพอจะช่วยดับไฟโทสะเร็วมาแทน
ดังตฤณ
มกราคม ๕๖
ที่มา
http://tinyurl.com/bryuuxs